รีวิว ภาพยนตร์ ร่างทรง (The Medium)
รีวิว ร่างทรง มาถึงหนังสยองขวัญของไทยที่กลายเป็นว่าเพื่อนบ้านที่อื่นๆ ได้มีโอกาสได้พิสูจน์ก่อนชาติที่เป็นเจ้าของเรื่องราว อย่าง “ร่างทรง” (The Medium) ที่เป็นการจับมือร่วมกันสร้างระหว่าง จีดีเอช กับ SHOWBOX ของเกาหลีใต้ พร้อมกับได้ทีมงานและทีมทำงานที่ผสมผสานทั้งไทยและเกาหลีในการสร้างสรรค์ผลงานหลอน ด้วยการหยิบเอาประเด็นความเชื่อท้องถิ่นมาปรุงแต่งให้กลายเป็นความสะพรึงชวนขนลุก แต่ผลลัพธ์ของหนังที่ออกมา จะเป็นความสะพรึงแบบที่เขาร่ำลือกันจริงหรือเปล่านะ?
ร่างทรง ว่าด้วยเรื่องราวของความเชื่อทางไสยศาสตร์ท้องถิ่นทางภาคอีสานของไทย โดยหนังจะโฟกัสที่ครอบครัวหนึ่งที่เชื่อในเรื่องเทพเจ้าที่เคารพบูชา และทำหน้าที่เป็นร่างทรงแบบสืบทอดกันมา แต่ปรากฏว่าพวกเขากับต้องเผชิญหน้ากับดวงวิญญาณและภูติผีที่แปลกประหลาดที่พยายามเข้ามาสิงสู่ในร่างของ มิ้งค์ หลานสาวของครอบครัว และเหตุการณ์ทั้งหมดนี้อาจจะต้องเปลี่ยนแนวคิดความเชื่อของพวกเขาไปตลอดกาล ดูหนังออนไลน์
หนังใช้สูตรการเล่าเรื่องแบบ Mockumentary หรือ หนังสารคดีล้อเลียน ที่เป็นหนังที่ซ้อนสารคดีไปในตัว ถือว่าเป็นการใช้สูตรที่ค่อนข้างท้าทายพอสมควร เพราะการเล่าเรื่องด้วยวิธีนี้มีหนังหลายเรื่องนำมาใช้และตกม้าตายไปก็หลายหนแล้วเช่นกัน
แต่ ร่างทรง ก็เปิดตัวมาได้ค่อนข้างน่าสนใจ ด้วยการแนะนำเป็นการถ่ายทำสารคดีที่ตามชีวิต ป้านิ่ม ร่างทรงย่าบาหยัน ที่เป็นคนสืบทอดร่างทรงนี้ในรุ่นปัจจุบัน หนังดำเนินเรื่องในช่วงแรกได้อย่างกลมกล่อมและน่าสนใจพอตัว ส่วนหนึ่งก็เพราะว่าชีวิตป้านิ่มและสิ่งที่เธอทำนั้นค่อนข้างอยากให้คนใฝ่รู้
รีวิว ความเชื่อ พิธีกรรม ผี และสิ่งลี้ลับ
แต่นั่นก็ดูเหมือนจะเป็นข้อดีหลักๆ เพียงอย่างเดียวในหนังเรื่องนี้ที่ทำออกมา ในขณะที่หนังเดินเรื่องมาได้สัก 15-20 นาทีแรกกับโจทย์ที่ค่อนข้างน่าสนใจ ก่อนจะค่อยๆ เลอะเลือนประเด็นเบนไปอีกทางที่ไกลออกไป เมื่อหันไปโฟกัสเรื่องราวของหลานสาวที่ชื่อ มิ้งค์ กับพฤติกรรมแปลกประหลาดของเธอที่ค่อนข้างเปลี่ยนไป ที่ยังคงหยิบความหลักแนวคิดความเชื่อทางศาสนามาเป็นเส้นกั้นบางๆ โดยใช้พุทธศาสนาและคริสตศาสน เข้ามาขนานเคียงข้างไปกับความเชื่อเรื่องภูติผี
เรื่องราวของมิ้งค์ในช่วงเกริ่นแรกๆ ก็ยังพอดูได้ แต่ยิ่งเป็นหนักเข้า ก็พลอยทำให้ภาพรวมของหนังเริ่มสั่นคลอนและสะเปะสะปะรุงรังไปหมด สุดท้ายก็ยังคงหยิบเอาสูตรสำเร็จหนังผีเดิมๆ ที่จีดีเอชเคยทำมาแล้ว อีกทั้งยังไปหยิบยืมองค์ประกอบของหนังแนวๆ นี้มาใช้สร้างสมดุลให้กับหนัง หลายคนอาจจะรู้สึกว่าหนังค่อยๆ ไต่ระดับความพีคในเรื่องราวยิ่งขึ้นไป แต่กลับมองว่าหนังยิ่งเละเทะยิ่งขึ้นๆ มากกว่า
โดยเฉพาะช่วงราวๆ 20 นาทีสุดท้ายของหนัง กลายเป็นความนรกแตกที่เหมือนผัดกับข้าวในขั้นตอนท้ายๆ ที่ปรับเร่งไฟขึ้นและหยิบจับใส่เครื่องปรุงนั่นนี่ลงกระทะแบบรัวๆ จนเปลวไฟลุกฉ่า แต่ผลลัพธ์ที่พยายามจะทำให้คนดูรู้สึกตกตะลึงและหวาดผวากับตัวหนังถือว่าล้มเหลว กลับรู้สึกว่าหนังพาคนดูมาได้ไกลมาก ไกลจนเกินไป เมื่อลองเหลียวมองหันหลังกลับไปดูจุดเริ่มต้นที่หนังได้สั่งสมเอาไว้เสียดิบดี แต่ช่วงสุดท้ายคือ เมนูที่ดูจัดจ้านแต่รสชาติยังไม่กลมกล่อม
เอาจริงๆ ก็ไม่อยากจะคิดไปเองว่า หรือว่า “โต้ง-บรรจง ปิสัญธนะกูล” หมดแพชชั่นกับการทำหนังสยองขวัญที่เขาเคยทำเอาไว้ขึ้นหิ้งมาแล้วหรือเปล่า วิสัยทัศน์ต่างๆ ในหนังเรื่องนี้แทบไม่ค่อยเห็นความจัดจ้านในรูปแบบหนังผีของโต้งที่เคยสร้างสรรค์ออกมาเลย ถือว่าดีที่มีโปรดิวเซอร์เกาหลี “นาฮงจิน” มาช่วยคลุมโทนของหนังเอาไว้ได้อยู่หมัด ไม่เช่นนั้น ร่างทรง อาจจะการมีความเละเทะ ทะลุทะลวงลอยแม่น้ำโขงไปไกลได้
แต่ดาวเด่นจริงๆ ในหนังก็คงต้องยกให้ “สวนีย์ อุทุมมา” คนนี้ไม่ต้องพูดอะไรเยอะ แม้ว่าเราจะเห็นเคยเธอรับบทตัวประกอบ-ตัวละครสมทบอยู่เรื่อยๆ แต่ฝีมือการแสดงของเธอนั้น เทียบชั้นครูได้เลย ทุกๆ ฉากที่มีเธอปรากฏตัวขึ้นมาในหนังนั้น มีพลังอย่างเหลือล้น เธอจึงกลายเป็นตัวละครที่ช่วยพยุงหนังเอาไว้ได้อย่างแท้จริง เป็นการแสดงที่ปลดปล่อยออกมาในรูปแบบน้อยแต่มาก ทั้งอินเนอร์และท่าทางออกมาเองโดยอัตโนมัติ ต้องยกให้เธอคนนี้จริงๆ
อีกองค์ประกอบหนึ่งที่คงต้องชื่นชมในหนังเรื่องนี้ ก็คงจะเป็นงานออกแบบศิลป์ในฉากต่างๆ พิธีกรรมที่จัดฉากขึ้นมาดูมีมนต์ขลังในแบบที่ไม่ต้องพยายาม ทีมงานทำการบ้านในเรื่องนี้ค่อนข้างน่าพอใจ ยิ่งมาผนวกกับบรรยากาศโลเคชั่นป่าฝนริมโขง แถวพื้นที่ จ.เลย และภาคอีสานตอนบน ยิ่งเพิ่มโทนบรรยากาศของหนังให้ดูมีความเลื่อมใสอยู่ไม่น้อย
ร่างทรง เรื่องย่อ
เรื่องราวการถ่ายทำสารคดีติดตามชีวิตครอบครัวที่สืบเชื้อสายร่างทรง “ย่าบาหยัน” มาหลายชั่วอายุคน ซึ่งเชื่อกันว่าจะเลือกแต่ร่างของผู้หญิงเพื่อสืบทอดทายาท โดยมี ป้านิ่ม (สวนีย์ อุทุมมา) เป็นผู้สืบทอดสายเลือดร่างทรงคนปัจจุบัน ระหว่างการถ่ายทำกำลังดำเนินอยู่นั้น ทุกคนเริ่มพบอาการแปลกประหลาดหลายอย่างเกิดขึ้นกับ มิ้ง (นริลญา กุลมงคลเพชร) หลานสาวคนเดียวของตระกูล ทุกคนจึงคาดกันว่ามิ้งน่าจะถูกรับเลือกให้เป็นทายาทร่างทรงคนต่อไป แต่เมื่อเวลาผ่านไปมิ้งกลับมีอาการน่ากลัวขึ้นเรื่อย ๆ จนสมาชิกในครอบครัวเริ่มสงสัยกันว่าจริง ๆ แล้วสิ่งที่เข้ามาอยู่ในร่างของมิ้งอาจจะไม่ใช่ย่าบาหยันอย่างที่ทุกคนคิด
นางน้อย (ศิราณี ญาณกิตติกานต์) แม่ของมิ้ง เป็นคนเดียวในครอบครัวที่ไม่เชื่อว่ามิ้งจะถูกผีร้ายเข้าสิง จึงเร่งให้มีการทำพิธีกรรมรับขันธ์ให้มิ้งเป็นร่างทรงคนต่อไป แต่ป้านิ่มไม่ยอมทำพิธีกรรมให้เพราะเชื่อว่าที่อยู่ในร่างมิ้งไม่ใช่ย่าบาหยัน แต่นางน้อยไม่ยอมจึงนำมิ้งไปทำพิธีกรรมกับหมอผีอื่นตามลำพัง ป้านิ่มตามไปทำลายพิธีกรรมนั้นลงจนมิ้งเกิดอาการคลั่งและเตลิดเปิดเปิงไป เมื่อเป็นเช่นนั้นป้านิ่มจึงถามกับ ลุงมานิต (ยะสะกะ ไชยสร) ว่ามิ้งเคยผิดผีกับ แม็กซ์ พี่ชายของตัวเองหรือไม่ แม้ลุงมานิตไม่ยอมตอบ
แต่หลังจากวันนั้นกิจการทุก ๆ อย่างของตระกูลยะสันเทียะ เริ่มพังทลายลงทีละน้อย เมื่อเหตุการณ์ทุกอย่างเริ่มเลวร้ายลง ความลับอันดำมืดของตระกูลก็เริ่มผุดขึ้นมาทีละน้อย สมัยก่อนตระกูลยะสันเทียะเคยรับจ้างฆ่าคนไม่เว้นวัน แม้เลิกราไปนานจนถึงยุคปัจจุบัน คนในตระกูลก็ยังประกอบอาชีพฆ่าสัตว์ ฆ่าหมา ฆ่าวัว ฆ่าควาย เพื่อเอามาชำแหละเนื้อขาย ซึ่งผิดกันกับตระกูลฝ่ายหญิงที่ทำอาชีพร่างทรง ถือศีล ประพฤติตนตามหลักศาสนา
ด้วยความลับนี้จึงทำให้ป้านิ่มเชื่อมั่นว่า สิ่งที่อยู่ในร่างมิ้ง ต้องเป็นหนึ่งในเจ้ากรรมนายเวรพวกนี้แน่ จึงเร่งพยายามอัญเชิญย่าบาหยันให้มาทำพิธีไล่ผีและขอขมาเจ้ากรรมนายเวรให้ปลดปล่อยครอบครัวไป แต่ทุกอย่างก็สายเมื่ออยู่ดี ๆ ป้านิ่มก็เสียชีวิตลงจนทำให้ทุกคนเริ่มหมดหวัง
นางน้อยเป็นคนเดียวที่ไม่ยอมแพ้ เธอจึงจัดการหาหมอผีทำพิธีคุณไสย์ ไล่วิญญาณร้ายออกไปจากร่างมิ้ง นางน้อยใช้วิธีใดก็ไม่เป็นผล แต่ทุก ๆ ครั้งที่เธอทำพิธีกรรม ความลับที่ซ่อนเอาไว้ก็เริ่มผุดออกมาว่า จริง ๆ แล้ว นางน้อยคือคนที่ย่าบาหยันเลือกให้เป็นร่างทรงคนต่อไป แต่นางน้อยกลับปฏิเสธด้วยการใส่ยันต์ลงในรองเท้ารวมถึงเปลี่ยนศาสนาเป็นคริสต์ ทำให้ย่าบาหยันไม่เลือกเธอแต่ไปเลือกป้านิ่มแทน เมื่อเป็นเช่นนั้นนางน้อยจึงกลับไปหาย่าบาหยันที่เคยปฏิเสธไป เธอจัดพิธีกรรมรับขันธ์เพื่อรับเอาย่าบาหยันเข้ามา พร้อม ๆ กับผนึกวิญญาณร้ายไปพร้อมกันทีเดียว แต่แล้วผีร้ายกลับบังตา แป้ง (อรุณี วัฒฐานะ) ให้เข้าใจผิดว่าลูกของเธอหายไป เธอจึงพังยันต์เข้าไปหามิ้งเพื่อไปเอาลูกคืน แต่สิ่งที่ปรากฏตรงหน้าคือมิ้งที่ทำลายยันต์ได้สำเร็จ มิ้งจึงลงมือฆ่าทุกคนที่อยู่ที่นั่น ก่อนบุกไปทำลายพิธีกรรมและฆ่าทุกคนที่ลานพิธีกรรมอย่างเลือดเย็น
นางน้อยที่รับเอาย่าบาหยันเข้ามาสำเร็จ จึงทำพิธีกรรมไล่ผีร้ายออกไปจากมิ้งตามลำพัง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือมิ้งหลอกล่อให้นางน้อยตายใจ ก่อนใช้มีดแทงคอนางน้อยให้ล้มลงและเผาร่างนางน้อยทั้งเป็น พริบตาที่เพลิงลุกไหม้ กล้องที่ล้มลงไปก็จับภาพได้พอดีว่ามีตุ๊กตาสาปแช่งคนตระกูลยะสันเทียะวางอยู่ใกล้ ๆ และภาพก็ตัดลง
ทีมงานนำบันทึกสัมภาษณ์ป้านิ่มครั้งสุดท้ายก่อนเสียชีวิตมาเปิด ภาพที่ปรากฏคือป้านิ่มทำพิธีไหว้ย่าบาหยันตามปกติ แต่เมื่อไหว้เสร็จป้ากลับโยนถาดทิ้งแบบไม่พอใจ ทีมงานจึงถามป้าว่าทำไมทำเช่นนั้น ป้านิ่มจึงสารภาพว่า ตัวเธอเองยังไม่รู้เลยว่าย่าบาหยันเข้าร่างจริงหรือไม่ ก่อนหนีไปร้องไห้ตามลำพังเพียงคนเดียว รีวิวหนังไทย
นักแสดง
- นริลญา กุลมงคลเพชร รับบท มิ้ง
- สวนีย์ อุทุมมา รับบท นิ่ม (น้าของมิ้ง)
- ศิราณี ญาณกิตติกานต์ รับบท น้อย (แม่ของมิ้ง)
- ยะสะกะ ไชยสร รับบท มานิต (ลุงของมิ้ง)
- บุญส่ง นาคภู่ รับบท สันติ (เพื่อนของนิ่ม)
- อรุณี วัฒฐานะ รับบท แป้ง (ภรรยาของมานิต)
- ธนัชพร บุญแสง รับบท ลิซ่า (เพื่อนมิ้ง)
- ภัคพล ศรีรองเมือง รับบท โปรดิวเซอร์
- อัครเดช รัตนะวงค์ รับบท ป้อง (ลูกของแป้ง)
- ชัชวัฒน์ แสนเวียน รับบท ตากล้อง 1
- ยศวัศ สิทธิวงค์ รับบท ตากล้อง 2
- อานนท์ โล่ศิริปัญญา รับบท ตากล้อง 3
- กลางชล เชื้อขำ รับบท ตากล้อง 4
- ปูน มิตรภักดี รับบท แม็ค (พี่ชายของมิ้ง)
- ประพฤติธรรม คุ้มชาติ รับบท วิโรจน์ (พ่อของมิ้ง)
- เม็ด สุขบัว รับบท ยายตาบอด
“ร่างทรง” เรื่องราวของครอบครัวหนึ่งในภาคอีสาน ประเทศไทย ที่สืบเชื้อสายร่างทรง “เทพบาหยัน” มาหลายชั่วอายุคน ซึ่งเชื่อกันว่าจะเลือกแต่ร่างของผู้หญิงเพื่อสืบทอดทายาท โดยมี “นิ่ม” (เอี้ยง-สวนีย์ อุทุมมา) เป็นผู้สืบทอดสายเลือดร่างทรงคนปัจจุบัน
ก่อนที่จะพบว่าเริ่มมีอาการแปลกประหลาดหลายอย่างเกิดขึ้นกับ “มิ้ง” (ญดา-นริลญา กุลมงคลเพชร) หลานสาวคนเดียวของตระกูลที่คาดกันว่าน่าจะถูกรับเลือกให้เป็นทายาทร่างทรงคนต่อไป แต่ มิ้ง กลับมีอาการน่ากลัวขึ้นเรื่อย ๆ จนสมาชิกในครอบครัวเริ่มสงสัยกันว่าสิ่งที่เข้ามาอยู่ในร่างของ มิ้ง อาจจะไม่ใช่เทพบาหยัน อย่างที่ทุกคนคิด
ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้ชมที่อยู่ในฝั่งที่ชอบหรือไม่ชอบ สิ่งหนึ่งที่คงต้องชื่นชมคือ การแสดงของสวนีย์ อุทุมมาและนริลญา กุลมงพลเพชร ซึ่งคนแรกถ่ายทอดความเป็นคนอีสานได้กำลังพอดีและน่าเชื่อว่าเธอเป็น “ร่างทรง” จริงๆ ในขณะที่คนหลังก็ค่อยๆกะเทาะความใสซื่อบริสุทธิ์ไปทีละเล็กทีละน้อยจนนำไปสู่ความเฮี้ยนขั้นสุด
รีวิว กับความเป็นสารคดีปลอมที่น่าสนใจ
ร่างทรง ถ่ายทำแบบสารคดีปลอม เข้าไปเกาะติดชีวิตของ ป้านิ่ม หญิงคนหนึ่งที่อาศัยอยู่ในชนบทภาคอีสาน เธอเป็นร่างทรงของผีบรรพบุรุษที่เรียกว่า ย่าบาหยัน คนในตระกูลของป้านิ่มที่เป็นผู้หญิงจะต้องได้รับสืบทอดการเป็นร่างทรงนี้ และป้านิ่มมีพี่สาวชื่อป้าน้อย ซึ่งเคยมีอาการเหมือนย่าบาหยันจะมาประทับทรงในช่วงวัยสาว แต่เธอปฏิเสธ และหันไปเข้ารีตศาสนาคริสต์ พร้อมทั้งหันหลังให้กับเรื่องราวลี้ลับเหล่านี้ แต่แล้ว มิ๊ง ลูกสาวของป้าน้อยก็เริ่มมีอาการแปลกจนคนรอบข้างผิดสังเกต คำถามคือย่าบาหยันจะมาเข้าทรงมิ๊ง หรือว่านั่นเป็นวิญญาณของอย่างอื่น
ทคนิคการถ่ายทำแบบสารคดีปลอม ทำให้ หนัง ภาพยนตร์ ร่างทรง มีความน่าสนใจมาก เพราะเราจะได้ตามติดชีวิตของคนหลาย ๆ คนที่มีส่วนพัวพันกับเรื่องราวของย่าบาหยัน ในช่วงแรกหนังถ่ายฟุตเทจสัมภาษณ์ค่อนข้างมาก โดยเราจะได้รู้เรื่องราวจากปากของป้านิ่ม ป้าน้อย และลุงมานิตย์ ซึ่งทั้งสามเป็นพี่น้องกัน
แต่ช่วงก่อนถึงกลางเรื่อง กล้องสารคดีได้จับภาพของมิ๊งเสียเป็นส่วนใหญ่ พวกเขาตามมิ๊งไปทุกที่ไม่ว่าจะเป็นบ้าน ที่ทำงาน หรือที่บาร์ ทำให้เรารู้สึกว่าเหมือนได้รับรู้ความลับบางอย่างที่ไม่ควรจะรู้ ซึ่งทำให้หนังดูน่าตื่นเต้นมากขึ้น หลายครั้งตัวละครก็บอกให้ทีมสารคดีหยุดถ่าย แต่พวกเขาก็ยังคงตามติดตัวละครเหล่านั้น ทำให้ผู้ชมอยากรู้เรื่องราวต่อไป
ความรู้สึกหลังดูหนัง
ความน่าสนใจของหนังเรื่องนี้คือการเล่าเรื่องของตัวละครหลัก ที่เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ละน้อยๆ จนถึงขั้นพีคสุด รวมทั้งการใช้วิชาไสยศาสตร์เพื่อแก้ไขปัญหาที่ดูเหมือนจะคลี่คลายได้ แต่พังไม่เป็นท่า และในตอนจบที่ไม่เหมือนหนังสยองขวัญของสัญชาติไทยที่ผ่านมา มีการออกแบบฉากที่สร้างความสะพรึงกลัวให้ผู้ชมอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะฉากการดูพฤติกรรมผ่านกล้องวงจรปิดทำออกมาได้น่าสยดสยอง รวมทั้งการดำเนินเรื่องทำได้อย่างน่าลุ้นตลอด และนี่คือความรู้สึกของผู้เขียนในแต่ละช่วงจากการดูหนังเรื่องนี้
-ตอนเริ่มเรื่อง หนังเริ่มมาด้วการเล่าเรื่องราวของชีวิตเด็กสาวคนหนึ่งในการใช้ชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นชีวิตส่วนตัว ชีวิตการงาน ดูเหมือนเป็นเรื่องปกติทั่วไป แต่มีสิ่งที่สะดุดใจให้ติดตามดูต่อคือ เด็กสาวคนนั้นเป็นทายาทของร่างทรงที่จะต้องมีการสืบทอดต่อๆกันมาจากรุ่นสู่รุ่น พล็อตนี้ทำให้ผู้เขียนอยากติดตามดูต่อว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป การเล่าเรื่องของหนัง รู้สึกว่าน่าติดตามดี
–การเปลี่ยนแปลงที่ชัดขึ้นของทายาทร่างทรง หลังจากที่รู้ปูมหลังของเด็กสาวแล้วว่าเป็นทายาทร่างทรง หนังก็เล่าต่อไปในประเด็นที่ร่างกายและจิตใจของหญิงสาวเปลี่ยนไปในท่าทีที่แปลกๆ ปนสยองคล้ายๆออกแนวโรคจิต แต่ก็ไม่ใช่ เพราะสิ่งที่เด็กสาวได้ทำลงไปเหมือนไม่ได้สติ คล้ายมีสิ่งลี้ลับพยายามเข้าครอบงำร่างกายและจิตใจ แต่จะเกิดขึ้นเพียงแค่ระยะสั้นๆเท่านั้น ถึงตอนนี้ยิ่งรู้สึกว่าต้องดูต่อ เพราะจากปัญหาที่เกิดขึ้น ต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น และทางครอบครัวจะแก้ไขปัญหานั้นอย่างไร ชวนให้ติดตามอย่างยิ่ง
การถูกครอบงำจากสิ่งเร้นลับอย่างสมบูรณ์แบบ ยิ่งนานวัน เวลาที่ผ่านล่วงเลยไป เด็กสาวมีท่าทีที่เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด ความก้าวร้าวที่เพิ่มทวีคูณ ไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม ถึงขั้นเสียหน้าที่การงาน ทุกอย่างของชีวิตเด็กสาวทวีความเลวร้ายลงเรื่อยๆ ร่างกายและจิตใจของหล่อนถูกเข้าครอบงำโดยสิ่งลี้ลับที่ไม่สามารถมองเห็นอย่างสมบูรณ์แบบ ทำให้เด็กสาวกลายเป็นคนละคน ความสยองขวัญจะเกิดขึ้นต่อจากนี้ ความรู้สึกถึงตอนนี้ทำให้ต้องติดตามต่อไปว่า แล้วจะมีใครมาช่วย ช่วยอย่างไร จบแบบไหน ลุ้นทุกฉากจริงๆ
–ไม่มีใครช่วยอะไรได้เลย การถูกครอบงำจากสิ่งเร้นลับของเด็กสาว ทำให้ร้อนถึงญาติพี่น้องที่ต้องช่วยกันหาทางออกในทุกวิถีทาง แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่สามารถช่วยอะไรเด็กสาวได้ หล่อนได้กลายเป็นอสุรกายเต็มตัวที่พร้อมจะทำลายหรือฆ่าทุกสิ่งอย่างที่ไปขวางทางหล่อน ฉากส่องพฤติกรรมของอสุรกายผ่านกล้องวงจรปิด มันช่างสยดสยองและลุ้นระทึกตลอดเวลา รู้สึกว่าเป็นฉากที่สยองที่สุดของเรื่องก็ว่าได้
-ตอนจบแบบพลิกความคาดหมาย หากเป็นหนังสยองขวัญโดยทั่วไป ตอนจบอาจจะมีพระเอกขี่ม้าขาวมาช่วย ให้ทุกอย่างจบลงอย่างงดงาม แต่เรื่องนี้ไม่ใช่อย่างแน่นอน มีการหักมุมอย่างเหลือเชื่อ ประมาณว่า ไอ้ที่เราต้องตามลุ้นตลอดทั้งเรื่องมันคืออะไร คาดไม่ถึงจริงๆ รีวิวหนัง
สรุปความรู้สึกหลังได้ดูหนัง“ร่างทรง” เต็มไปด้วยความอยากติดตามต่อไปเรื่อยๆ ความสยองก็เข้าที หักมุมแบบคาดไม่ถึง ลุ้นตลอดทั้งเรื่อง โดยรวมแล้วสนุกแต่ไม่ชอบฉากท้ายๆเรื่องสักเท่าไหร่ หากผู้อ่านท่านใดกำลังหาดูหนังสยองขวัญที่ไม่ซ้ำแบบเดิม กระชากอารมณ์ร่วมในทุกฉาก แสดงถึงวิถีและความเชื่อของคนไทยอีสาน ขอแนะนำหนัง“ร่างทรง”เอาไว้ในใจอีกสักเรื่องก็คงไม่ทำให้ผิดหวัง