รีวิว คู่กรรม

รีวิว คู่กรรม

หนังไทยยุค90 สวัสดีครับวันนี้ผมมีหนังไทยเก่าเรื่องนึงที่ได้พระเอกหนุ่มหล่อในช่วงนั้นอย่าง ณเดช นั้นเอง เป็นหนังที่สร้างขึ้นจากนวนิยายเรื่อง “คู่กรรม” ที่ผมชอบมากๆ เช่นเดียวกับคนไทยหลายคน และก็ได้ติดตามดูคู่กรรมมาตลอดทุกยุคทุกสมัย ทั้งเวอร์ชันละครหรือหนังใหญ่ ซึ่งปีนี้น่าจะเป็นปีสุดพิเศษเพราะมีคู่กรรมให้ดูพร้อมกันถึง 2 เวอร์ชันเลยทีเดียวท่ามกลางการโหมโปรโมทภาพยนตร์อย่างหนัก การได้พระเอกแห่งยุคอย่างณเดชน์มา ลงทุนสูงถึง 70 ล้านบาท รวมถึงตัวอย่างภาพยนตร์พร้อมเพลงเพราะขั้นสุดยอด ทำให้คู่กรรมเวอร์ชันนี้ถูกคาดหวังเอาไว้สูงปรี๊ด

สปอยหนังไทย แต่แล้วเสียงตอบรับจากรอบสื่อที่ไปคนละทิศละทาง พร้อมเสียงวิจารณ์ที่ตามมาจากหลายคนว่า “ห่วย”, “ไม่ชอบ”, “นางเอกเหมือนหุ่นยนตร์” ฯลฯแต่ส่วนตัวแล้วผมกลับรู้สึกชอบ “คู่กรรม” เวอร์ชัน 2556 มากเป็นพิเศษ และน่าจะเป็นเวอร์ชันที่ชอบที่สุดที่เคยดูมาเลยด้วยซ้ำไป ดูหนังออนไลน์ ดูหนังฟรี

รีวิว คู่กรรม

รีวิว คู่กรรม

รีวิว คู่กรรม คู่กรรมเวอร์ชั่นนี้มีความเป็นภาพยนตร์สูงมาก มีเทคนิคและชั้นเชิงในการเล่าเรื่องที่เป็นศิลปะตลอดทั้งเรื่อง ตัวละครไม่มาก บทพูดไม่เยอะ เดินเรื่องกระชับเรียบง่าย และมุ่งเน้นไปที่เรื่องราวความรักของโกโบริและอังศุมาลินเท่านั้น เนื้อหาอื่น ๆถูกละไว้เพื่อให้ผู้ชมล่องลอยไปกับความรักของคนสองคนอย่างเต็มที่ หากจะดูหนังเรื่องนี้ให้สนุก ลองวางหนังสือที่เคยอ่าน ปิดเหตุผลทั้งหมดทั้งมวล แล้วเปิดหัวใจรับความรู้สึกที่สวยงามของตัวละครทั้งคู่ให้เต็มที่

จากคำพูดข้างต้นจึงไม่น่าแปลกใจ หากความลึกซึ้งรวมถึงพัฒนาการความสัมพันธ์ระหว่างพระ-นางจะขาดมิติ ไร้ความน่าเชื่อถือ ออกจะไม่มีที่มาที่ไปของบ่อเกิดความรักที่จับต้องสัมผัสได้เลย ตัวหนังจึงไม่อาจดึงอารมณ์ร่วมของคนดูให้ผนึกตรึงติดเก้าอี้ได้ตลอดเรื่อง กระทั่งบางช่วงบางตอนของหนังถึงขั้นชวนง่วงเหงาหาวนอนเลยทีเดียว

บทจะสยิวชวนกรี๊ดสักหน่อยกับฉากเลิฟซีนอันลือลั่น ก็ดันแป้กซะอย่างงั้น ก็คุณเรียวจิตสัมผัสใช้วิธีถ่ายทอดอารมณ์ผ่านการเคลื่อนกล้องเนิบนาบ เดินภาพเกี้ยวพาราสีกันอันยาวนาน มุดกันไป มุดกันมา เล่นเอาคนดูลุ้นจนเยี่ยวเหนียว ออกอาการเหนื่อยหน่ายกันไป เท่านั้นยังไม่พอ เราแถมความน่าอึดอัดให้เป็นของกำนัลอีกต่างหาก….แต่ก็เอาเถอะ อย่างน้อย ๆ โกโบริก็สอนให้เรารู้ว่า “ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น” ดูท่าก็คงจะสำเร็จไปหลายรอบอยู่เหมือนกันนะคืนนั้น

การดำเนินเรื่อง คู่กรรม

รีวิว คู่กรรม

หนังเปิดเรื่องมาด้วยการเกริ่นนำถึงโกโบริก่อน และตามด้วยไตเติ้ลที่เป็นอนิเมชั่นง่าย ๆ ผสมกลิ่นอายแบบญี่ปุ่น ยอมรับว่าขัดความรู้สึกอยู่ไม่น้อย ที่ทำไตเติ้ลออกมาซะน่ารักขนาดนี้ (นึกว่าจะมีโดราเอมอนโผล่มาด้วยซะแล้ว) แต่เดาเอาว่าที่เลือกนำเสนอแบบนี้เพราะตั้งใจทำให้ภาพของทหารญี่ปุ่นดูดีไม่มีพิษภัย และเพื่อสร้างอารมณ์ให้คนดูสนุกให้ภาพยนตร์ในช่วงแรกก่อน ถ้าไม่มีความสนุกความน่ารักของพระนางในตอนแรก ๆ หนังอาจจะเบื่อเพราะอารมณ์เดียวไปทั้งเรื่องเลยก็ได้ โดยรวมเลยคิดว่าโอเคครับ

ผมอาจจะบ่อน้ำตาตื้นกว่าปกตินิดหน่อย แต่ผู้ชายคนหนึ่งจะร้องไห้ในโรงหนังได้กี่ครั้ง หนังเรื่องนี้ทำให้ผมร้องไห้แบบหนักหน่วงได้ถึงสองรอบ เพราะว่ามัน “อิน” กับหนังแบบสุด ๆ การดำเนินเรื่องโดยเน้นไปที่ความรักของโกโบริกับอังศุมาลินเพียงอย่างเดียว ทำให้หนังเรื่องนี้ทรงพลังมาก หนังค่อย ๆ พัฒนาความสัมพันธ์ของตัวละครไปเรื่อย ๆ โดยไม่มีการเล่าเรื่องแบบหวือหวา ใช้แค่ภาพที่สวยงามกับบทบาทของโกโบริและอังศุมาลินล้วน ๆ ทำให้เราต้องเชียร์โกโบริไปเรื่อย ๆ และสับสนไปกับความรู้สึกในใจของอังศุมาลิน

แต่ผลข้างเคียงที่ตามมาคือ หนังจงใจกระโดดข้ามเนื้อหาบางส่วนจากหนังสือไปเลย ทำให้รู้สึกว่าไม่มีที่มาที่ไปก่อนมาถึงฉากนั้น แฟน ๆ ที่รู้จักคู่กรรมดีอยู่แล้วจะขัดใจบ้าง ผมเข้าใจความรู้สึกของแฟน ๆ คู่กรรมครับ แต่เดาว่าผู้กำกับเลือกจะไม่นำเสนอตามเนื้อเรื่องเดิมทั้งหมดเพราะไม่อยากให้อารมณ์สะดุด และเพื่อไม่ให้ภาพของโกโบริดูเป็นคนโหดร้าย ขัดกับความรู้สึกที่ปูมาตลอดเท่านั้นเองครับ คู่กรรม 2538

การแสดงของตัวละคร

รีวิว คู่กรรม

ผมเชื่อว่าทุกคนต้องเห็นด้วยถ้าจะบอกว่าณเดชเล่นดีมาก การที่หนังเน้นอยู่ที่ตัวละครสองตัวเท่านั้น และยังสร้างปมความแตกต่างทางเชื้อชาติและความคิด ระหว่างโกโบริและอังศุมาลินไว้อีก เลยจำเป็นมากที่ต้องทำให้คนดูเชื่อว่า ณเดช เป็นคนญี่ปุ่นจริง ๆ ให้ได้ ซึ่ง ณเดช ก็ทำได้ดีสมกับที่มีนามสกุลว่า “คูกิมิยะ” เลยครับ (เกี่ยวไหมเนี่ยย)

ในส่วนของริชชี่ที่รับบทเป็นอังศุมาลิน ผมคิดว่าริชชี่ไม่จำเป็นต้องเหมือนอังศุมาลินคนก่อน ๆ แถมการเป็น ริชชี่ ยังได้เปรียบเรื่องความน่ารักใสๆ ได้ และสามารถแสดงความนิ่ง ให้คนดูได้เดาใจไปพร้อมๆกันได้ด้วย เพราะบทมันบังคับให้ต้องนิ่ง ต้องใจแข็ง ต้องแสดงความสับสนในใจให้ได้ ตรงนี้ริชชี่ก็ถ่ายทอดได้ดี แต่จะตำหนิเรื่องบุคลิกโดยรวมของริชชี่ เช่น สำเนียงการพูด และภาษากายที่ดูเด็กไปหน่อย ทำให้ซีนอารมณ์บางฉากดูอ่อนลงไป ถ้าเห็นแค่หน้าอย่างเดียว การแสดงออกทางสีหน้าผมคิดว่าทำได้ดีกว่ามากครับ ดังนั้นผมว่าริชชี่สอบผ่าน แต่คะแนนยังไม่ดีมากครับ (อาจเป็นเพราะนามสกุล “คีตาบาเล่” ของริชชี่ก็เป็นได้ ^^)

สุดท้ายที่คิดว่าควรจะดีกว่านี้คือการแสดงของประกอบหลายๆตัว ที่แม้จะมีบทไม่มาก แต่ก็ยังแข็งๆไม่เป็นธรรมชาติเท่าไร ซึ่งถ้าแสดงได้ดีกว่านี้จะเสริมพลังให้ตัวละครหลักได้อีกมากครับ

หนังจะไม่ใช้บทสนทนาเพื่อการเล่าเรื่องพรำ่เพรื่อ จะพูดเพื่อเล่าเรื่องในส่วนที่ต้องเล่าเท่านั้น คำพูดของตัวละครจะซื่อตรงกับคาแร็กเตอร์ที่สุด อธิบายได้ว่าอังศุมาลินที่พูดน้อยก็พูดน้อยจริงๆ พูดไม่หมดเหมือนที่ใจคิดจะพูดตลอดเวลา (รู้ไปหมดขนาดนั้นเลย) ส่วนโกโบริก็จะมีบทพูดที่ใสบริสุทธิ์มาก ในอารมณ์ที่รุนแรงที่สุดของโกโบริ ก็ยังพูดออกมาได้เป็นโกโบริคนเดิมที่รักและเทิดทูนอังศุมาลินอย่างสุดหัวใจ ไม่นับรวมคำพูดอีกหลายๆประโยคที่ทรงพลังและสื่อความหมายได้งดงามมาก ทั้งที่พูดกันง่ายๆ คงเป็นเพราะอารมณ์ของหนังที่ทำให้ประโยคง่ายๆกลายเป็นประโยคที่ซาบซึ้งกินใจขึ้นมาได้มั้งครับ หรือจะเป็นกุศโลบายของหนัง ที่จงใจเก็บคำหวานไว้ตอนท้ายสุดของเรื่องให้ได้ฟินกันก็เป็นได้

ในเรื่องตั้งใจให้ฉากและเสื้อผ้าออกแนวใหม่เอี่ยม สะอาดสะอ้าน ร่วมสมัยนิดๆ ซึ่งอาจไม่เหมือนกับความคาดหวังของคนส่วนใหญ่ครับ แต่ถ้าถามว่าลงตัวไหมผมว่าลงตัวกับนักแสดงนะ รายละเอียดความถูกต้องของฉากและเสื้อผ้าผมคงไม่ลงละเอียดครับ แต่โดยรวมดูว่าโอเคไม่มีอะไรขัดตาก็ใช้ได้ครับ

น่าจะเป็นส่วนที่ดีที่สุดเป็นอันดับสองของหนังเรื่องนี้ รองมาจากการแสดงของณเดชครับ การวางมุมกล้อง เลือกช็อตถ่ายได้สวยมาก รู้สึกได้ถึงความใส่ใจในทุกช็อต ซีนธรรมดาทั่วไปนี่แหละครับไม่ต้องพูดถึงซีนอลังการอย่างตอนแต่งงานก็ได้ แต่ที่ชอบที่สุดเลยคือฉากทิ้งระเบิดบนสะพาน ที่ใช้การเล่นกับควันได้สวยงามมาก เป็นความหายนะที่แสนโรแมนติก อีกอันคือฉากที่โกโบริโดนกองซากรถไฟทับอยู่ แล้วโผล่ขึ้นมาแค่มือยื่นออกมา สวยและมีพลังมากๆ การสื่อสารด้วยภาพที่ดีนี่เองที่ทำให้คนดูอินไปกับหนังได้โดยไม่รู้ตัว เดี๋ยวจะไปพูดถึงอีกทีในส่วนที่สอง ลองอ่านกันดู คู่กรรม ตอนจบ

รีวิว คู่กรรม

รีวิว คู่กรรม ตลอดทั้งเรื่องเต็มไปด้วยสัญญะที่แสดงออกมาเป็นภาพ ว่ามีอะไรคั่นกลางระหว่างโกโบริและอังศุมาลิน อยู่เสมอ ไม่ว่าจะการวางมุมกล้องให้จากด้านบนให้เห็นฉากกั้นในตอนนอนอยู่ในห้องเดียวกัน และอีกหลาย ๆ ฉากที่สื่อความหมายด้วยภาพแบบนี้ จนกระทั่งเรื่องดำเนินไปจนถึงฉากเลิฟซีนนั่นแหละ (จะเลิฟกันแล้วคงไม่มีอะไรมากั้นได้จริงไหม)

โดยรวมถือว่าดีนะครับ ตัดต่อราบลื่นไม่กระโดดไปมา (ถ้าไม่มองที่เนื้อหาที่ถูกข้ามไปโดยตั้งใจ) เล่าเรื่องแบบง่าย ๆ ไม่ว่าหวือหวา เป็นเส้นตรงไม่ต้องหลอกล่ออะไร ใช้การเปลี่ยนฉากแบบเรียบ ๆ นิ่ง ๆ ออกแนวญี่ปุ่น ๆ หน่อย ส่วนตัวผมไม่ได้ชอบและไม่ได้เกลียดครับ แค่ไม่ขัดจังหวะ ขัดอารมณ์ของหนังก็โอเคแล้ว …แต่ที่ชอบที่สุดคือฉากเลิฟซีนที่ “ไม่ตัดต่อ” นะครับนะ การไม่ตัดต่อก็ถือเป็นการตัดต่ออย่างนึงนะเอ้อ สำหรับคนที่ยังไม่ได้ดูอย่าเพิ่งคิดลึก เดี๋ยวเล่าให้ฟัง

หนังเรื่องนี้มีซีนอารมณ์ที่ค่อนข้างทรงพลังครับ ส่วนหนึ่งที่ทำให้ทรงพลังขนาดนี้ต้องยกเครดิตให้ดนตรีประกอบที่เข้าออกได้ถูกที่ถูกเวลาทุกครั้ง สังเกตุได้ว่าก่อนเพลงจะเข้า อารมณ์จะถูกผลักและทิ้งช่วงให้คนดูรุ้สึกตามก่อนแวบนึงเสมอ พอดนตรีขึ้นก็เหมือนเปิดสวิตช์ที่เบ้าตาทันที (น้ำตาปริ่มทุกที ก็มันอินอยู่แล้วนิ) ส่วนเพลงประกอบหนังที่ได้ฟังจนติดหูกันไปก่อนหนังจะเข้าฉายแล้วคงไม่ต้องวิจารณ์อะไรมากมายนะครับ พิสูจน์ได้จากจำนวนคนที่นำไปคัฟเวอร์แล้วว่าดีแค่ไหน

สำหรับผมความประทับที่สุดในหนังมีสองอย่างคือ การเล่าเรื่องความรักได้ถึงอารมณ์มาก ๆ ไม่ใช่ว่ารุนแรงถึงใจ แต่ใสบริสุทธิ์ซะจนซาบซึ้งมาก ๆ ไม่เสียความตั้งใจของผู้กำกับที่ต้องการให้หนังออกมาเป็นแบบนี้จริง ๆ และต้องให้เครดิตองค์ประกอบทุกอย่าง โดยเฉพาะการแสดงของณเดช หรือแม้กระทั้งความนิ่งของอังศุมาลิน ที่ถ้าไม่นิ่งขนาดนี้ ใจแข็งขนาดนี้ ผมคงไม่อินกับบทโกโบริได้ขนาดนี้ (ออกจากโรงมาตาแดงฉ่ำเลย) และที่ชอบรองลงมาคือความสวยงามในการจัดองค์ประกอบภาพในฉากต่าง ๆ ที่สื่อความหมายได้ตลอดเวลา นับถือ ๆ

ประทับใจหลายฉากมาก แต่ที่แปลกใหม่จริง ๆ และไม่คิดว่าจะได้เห็นคือฉากเลิฟซีนที่เขียนไปก่อนหน้า และฉากทิ้งระเบิดที่ใช้ควันมาคลุมโกโบริกับอังศุมาลินไว้ โรแมนติกมาก ๆ ครับ แต่ฉากที่ผมร้องไห้คือฉากที่คุยกันริมตรงท่าน้ำ แล้วโกโบริพูดว่า “คุณมีเหตุผลของคุณ ผมมีหัวใจของผมก็พอ” ถึงจะได้ยินมาก่อนหน้านี้แล้วหลายครั้ง แต่ถึงจุดที่มันมาโผล่ในหนังจริง ๆ มันอยู่ถูกที่ถูกเวลาเอามาก ๆ (สำหรับผมนะ) สุดท้ายก็คือฉากก่อนตายที่โกโบริขอให้อังศุมาลินยิ้มให้ดู แล้วอังศุมาลินถามประมาณว่า “คุณชอบรอยยิ้มของชั้นเหรอ” โกโบริก็ตอบว่า “ผมชอบทุกอย่างเกี่ยวกับคุณ” …. จุกเลยครับประโยคง่าย ๆ แค่นี้ คู่กรรม บี้ หนูนา

สรุป คู่กรรม

สรุปตรงนี้คร่าว ๆ ครับ ว่าชอบการตีความใหม่ ชอบเพลง ชอบการถ่ายภาพ ชอบโกโบริ (ณเดชน์) แต่เสียดายตรงการเล่าเรื่องและเสียดายที่น้องริชชี่ต้องมาเจอบทที่หินแบบนี้ตั้งแต่เริ่มเข้าวงการ และดันเป็นบทสำคัญที่ส่งผลต่ออารมณ์หนัง คือถ้าบทหนูอังออกมาดีก็เสริมบารมีพี่โกโบริให้ดูเด่นจับตา ชวนให้คนดูอยากเอาใจช่วยให้คู่รักคู่นี้ไม่ต้องเป็นคู่กรรมตามชื่อเรื่อง

ผมว่ามันเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของเรื่องคู่กรรมนะครับ นั่นคือเรารู้ตอนจบ รู้อยู่แล้วล่ะว่าไม่สมหวัง แต่ความลุ้นความพีคก็อยู่ตรงที่เราเข้าไปรับรู้ความสวยงามแห่งรักระหว่างพ่อดอกมะลิกับหนูฮิเดโกะ แล้วก็นั่งเอาผ้าเช็ดหน้าตาเตรียมซับน้ำตาในตอนท้าย

หนังหลายเรื่องทำออกมาให้เราซึ้งเต็มที่กับความสมหวังแห่งรัก แต่คู่กรรมคือหนึ่งในไม่กี่เรื่อง ที่ทำให้เปิดโอกาสให้เราได้ซึ้งอย่างสุดกำลัง กับรักที่ไม่มีวันจะสมหวังได้ ไม่ว่าจะเอามาสร้างใหม่กี่รอบหรืออ่านนิยายกี่หนก็ตาม

และลองว่าเป็นเรื่องราวแห่งรัก พระ-นาง จึงเป็นแรงสำคัญที่สุดที่จะทำให้หนังพีคหรือไม่พีค ให้เรารู้สึกได้ว่าคู่นี้รักกัน แต่หากเราเห็นแค่ว่ารักของฝ่ายหนึ่งชัดเจน ส่วนอีกฝ่ายคลุมเครือ การจะให้เราคล้อยตามในรักย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย… เพราะนี่เป็นคู่กรรมเราจึงเดาอารมณ์ได้ว่าหนูอังต้องรักพี่โกแน่นอนแบบภาคบังคับ แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าถ้าโลกนี้ไม่เคยมีคู่กรรมมาก่อน แล้วคนดูจะยังสัมผัสได้ไหมว่าหนูอังรักพี่โกมากขนาดไหน คู่กรรม เรื่องย่อ

สุดท้ายนี้ ถ้า “คู่กรรม” ฉบับคุณเรียว เป็นการตีความใหม่ของหนังล่ะก็ งั้นผมขอฝากผลงานการตีความใหม่ของเพลง “ฮิเดโกะ” ดูซิของใครจะเลอะเทอะเปรอะเปื้อนกว่ากัน (แปลงตามฮุคสุดท้ายในทำนองเพลงญี่ปุ่นนะ)

One thought on “รีวิว คู่กรรม

  1. Pingback: รีวิว ร่างทรง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *